Epsilon’ s blog

กุมภาพันธ์ 16, 2013

กำลังใจจากคนไกล เขียนเมื่อ 7 MAY 2011 BY EPSILON

Filed under: Uncategorized — ป้ายกำกับ:, — epsilon @ 6:07 pm

ตอนนี้ เดินได้วันละ 2 ชั่วโมงแล้ว แต่ว่ายังเจ็บเส้นอยู่เวลาเิดินนานๆ หรือทำอะไรเยอะๆ

สงสัยเส้นจะอักเสบขนาดหนัก นี่สองเดือนแล้วยังเจ็บอยู่เลย

เราจะเจ็บเส้นบริเวณคอ สะบัก และ lower back น่ะ

 

อยากจะบันทึกไว้หน่อยว่า เมื่อ 3 สัปดาห์ก่อน คุณหมอบอกว่าจะส่งเราไปทำกายภาพบำบัด จะส่งจดหมายมาแจ้งให้ทราบว่าไปทำกายภาพที่ไหน เมื่อไหร่

เมื่อวานเราเพิ่งได้รับโทรศัพท์ นัดให้ไปทำกายภาพ ให้เราเลือกว่าจะทำกายภาพที่ศูนย์ไหน และสะดวกช่วงบ่ายโมงหรือบ่ายสาม ของวันที่ 25 พ.ค.!

แม่เจ้า 7 สัปดาห์ นับจากครั้งล่าสุดที่หมอบอกว่าต้องกายภาพ เราถึงจะได้ทำกายภาพครั้งแรกกกกกกก

ถ้าเราเป็นอะไรร้า้ยแรง เราคงเดินไม่ได้ไปแล้วหล่ะ =.=”

 

เราได้รับพัสดุจากเมืองไทยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ของชิ้นแรก ป๊าส่งซีดีพร้อมหนังสือประกอบ ขยับกาย สบายชีวี ด้วยวิถีพุทธ โดย มูลนิธิธรรมอิสระ ของ หลวงปู่พุทธอิสระมาให้

เป็นการออกกำลังกายคล้ายๆ โยคะ โดยใช้วิธีการกำหนดลมหายใจเข้าช่วย

ป๊าออกกำลังกาย ยืดเส้นยืดสายที่บ้านด้วยวิธีนี้แล้วดี ก็เลยส่งมาให้ เพราะบอกว่าเป็นการออกกำลังกายแบบเบาๆ ที่น่าจะเหมาะกับสภาพการป่วยของเรา

 

ลองทำแล้วก็ดีนะ เริ่มด้วยท่าขัดสมาธิเพชร แล้วก็ค่อยๆ ขยับตัวตามที่ซีดีบอก เป็นการยืดเส้นที่ได้ผลมาก

ถ้าใครอยู่เมื องไทยก็ลองไปซื้อมาทำได้นะคะ  ไม่จำเป็นต้องป่วยแล้วค่อยทำ  ออกกำลังกาย ยืดเส้นยืดสาย ตอนที่ปกตินี่ละจะได้ไม่ป่วยง่ายแบบเรา

 

 

ของชิ้นที่สอง น้ำมันเหลืองสมุนไพร ตำหรับยาจีน จากพี่ของพี่ฮิม

เป็นน้ำมันเหลืองที่พี่ Candee ทำเอง เป็นสูตรที่ทำมาสิบกว่าปีแล้ว สำหรับดม หรือทา

สรรพคุณ บรรเทาอาการอัมพถกษ์ ปวดกล้ามเนื้อ เหน็บชา หน้ามืด เป็นลม

เอามาทาบรรเทาปวดเส้น ทาแล้วจะเย็นๆ

เราคิดว่าใช้แล้วดีนะ บรรเทาปวดได้ ป๊าเราลองใช้ตอนที่ตึงต้นคอก็หาย ชมใหญ่เลยว่าดี  ‘พี่เค้าทำยังไง?’  ป๊าหนูไม่รู้

ใครสนใจอยากลองใช้ก็โทรไปสั่งซื้อได้ค่ะ 081-8128914  ส่วนราคาไม่ทราบค่ะ

แต่ถึงแพงถ้าใช้แล้วหายป่วยก็ซื้อเถอะค่ะ ขวดนึงก็อยู่ได้นานมาก หัวมันจะเป็นลูกกลิ้งเล็กๆ นะคะ ใช้ง่ายค่ะ

พี่เค้าเคยเล่าให้ฟังว่าบางครั้งก็แจก เอาไปแจกคุณตาคุณยายที่วัด แล้วก็มีส่งไปที่วัดต่างจังหวัดให้พระแจกญาติโยมที่มาทำบุญ

คือทำขึ้นมาเพราะได้สูตรยาตำหรับโบราณ  เริ่มจากแจกให้คนใกล้ตัว และวัดใกล้บ้าน แต่พอใช้แล้วดีก็มีคนอยากซื้อไปใช้และแจกคนอื่นต่อ

ถ้าใครสะดวกซื้อก็ซื้อ แต่ถ้าใครไม่สะดวก พี่เค้าก็จะส่งไปให้ฟรีค่ะ  เพราะถ้าป่วยเป็นอัมพถกษ์แล้วไม่มีเงิน แต่ต้องการใช้ยานี้ พี่เค้าก็ยินดีช่วยเหลือค่ะ

 

ของชิ้นที่สาม น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว แบบแคปซูล

 

คือตอนที่กลับเมืองไทยก่อนวันที่จะเจ็บหลังหนึ่งวันเรานัดเจอกับเพื่อนม.ปลาย แล้วมีเพื่อนคนนึงมาไม่ได้ เพราะว่าแพ้ท้องหนัก

กลับมาที่นี่แล้วเราเลยโทรไปหาว่าเป็นไงมั่งดีขึ้นหรือยัง แล้วก็คุยๆ กันเรื่องอาการของเรา

เพื่อนบอกว่าอยากให้ลองกินน้ำมันรำข้าว เพราะว่าเค้าเคยปวดหลัง กินแล้วหาย

แต่เราเกรงใจที่ต้องส่งมา ก็เลยบอกว่าให้ถ่ายรูปขวดที่มีส่วนผสมส่งมาแล้วกัน เดี๋ยวเราหาซื้อที่นี่ ไม่ต้องยี่ห้อที่เพื่อนกินก็ได้

แต่พอคุยไปคุยมา เพื่อนบอก เฮ้ย ไม่ได้ รู้สึกว่าเราอาการหนัก ถึงขั้นแขนขาชา  เดี๋ยวส่งไปให้กินกล่องนึง

เราก็ไม่รู้จะปฎิเสธยังไง ก็บอกว่าขอจ่ายเงินนะ เพื่อนเราก็บอกไม่ต้องอีก เจ็บป่วยอยู่ เอาไปกินแล้วหายก็ดีใจแล้ว  โอ๊ย  ซึ้งน้ำตาจะไหล

คือเรากับเพื่อนคนนี้ เจอกันล่าสุดเมื่อหกปีก่อนตอนไปส่งเพื่อนอีกคนมาอังกฤษนี่ละ แล้วก็คุยโทรศัพท์กัน ไม่ถึงห้าครั้งเลยมั๊งหลังจากเจอกันตอนโน้น

เจอกันแว๊บๆ ในเฟสบุคบ้าง เพราะเพื่อนเป็นคุณแม่ลูกสอง (และกำลังท้องคนที่สาม) ที่ยุ่งมากกกก

คือวางหูโทรศัพท์เสร็จก็รีบเล่าให้พี่ฮิมฟัง  ก็ยังคุยกันอยู่เลย ว่าอาจจะเป็นบุญของเรา ที่มีเพื่อนดีแบบนี้  บุญจากการที่เราเห็นเพื่อนเขียนในเฟสบุคว่าปวดหลัง คอเคล็ดเพราะตกหมอน แล้วรีบเมล์ไปบอกให้รีบไปรักษา ก่อนจะสายเกินแก้

 

พอพัสดุมาถึง เราก็งงๆ ว่ากล่องใหญ่จัง แกะออกมา ข้างในเป็น 1 กล่องใหญ่ ที่มี 8 กระปุกอยู่ในนั้น กระปุกนึงมี 60 แคปซูล

โทรไปหาเพื่อน  เราเข้าใจว่าเค้าจะส่งมา 1 กระปุก

แต่เพื่อนบอกส่งมาให้กินให้หาย  ไม่ใช่แค่ลองกิน

เงินก็ไม่เอา บอกขอให้หายเร็วๆ  ซึ้งจนพูดไม่ออก

เพื่อนบอกให้กินมื้อละ 3-4 แคปซูล วันละ 3 มื้อ  เพราะว่าเราป่วยกินเข้าไปเลย  ข้างขวดที่เขียนว่ากินวันละ 2 แึคปซูลเอาไว้กินบำรุงตอนหายป่วยแล้ว

 

นอกจากเราจะคุยกันเรื่องความเจ็บป่วยแล้ว เราก็ยังคุยกันเรื่องธรรมะด้วย เพราะเพื่อนเราแพ้ท้องมาก จนต้องอยูบ้านไม่ไปทำงาน ทั้งวันก็เลยฟังแต่ซีดีธรรมะหลวงพ่อจรัญ ส่วนเรา ตอนนี้ฟังของหลวงปู่พุทธอิสระ  คิดตรงกันว่าช่วงนี้ทำให้ตัวเองได้พักและฟังธรรม

แถมเพื่อนเรายังแนะนำให้สวดอิติปิโส อายุ+1 รอบทุกวัน พร้อมกับแผ่เมตตาด้วย  เราก็เลยเริ่มสวดหลังจากคุยกับเพื่อน เพราะปกติเราจะสวดเฉพาะคาถาชินบัญชร

 

มีเพื่อนดีนี่ดีจริงๆ นะ

‘วันที่ฉันป่วย’ และเดินได้แค่วันละ 20 นาที เขียนเมื่อ 25 APR 2011 BY EPSILON

Filed under: my life, recommended — ป้ายกำกับ:, — epsilon @ 6:02 pm

(ย้ายจาก http://a-littlegirl.com/ กลับมาอยู่ที่นี่เหมือนเดิมค่ะ )

 

เอปซี่หายไปนานมาก  สองปีครึ่ง ที่ไม่เขียนบล็อค

หายไปมีความรัก  ฮิ้วววว

วันนี้อยากแบ่งปันเรื่องราว เกี่ยวกับสุขภาพนะคะ  เพราะไม่อยากให้ทุกคนต้องทรมานเหมือนที่เราเป็น

ตอนนี้เราป่วยค่ะ อยู่บ้านรักษาตัวมาสองเดือน แล้วและหวังว่าจะหายภายในหนึ่งเดือนข้างหน้านี้ เพื่อกลับไปทำกิจกรรมชีวิตตามปกติได้

เรามีอาการกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นอักเสบ  กระทบเส้นประสาท ทำให้แขนขาชา และ (เคย) เดินได้แค่วันละ 20 นาที

ปัจจุบันเราเดินได้วันละ 1 ชั่วโมงแล้วค่ะ


การป่วยครั้งนี้ทำใ้ห้เราเรียนรู้อะไรหลายอย่าง

  • สุขภาพตัวเองสำคัญที่สุด อย่าละเลยการออกกำลังกาย และการทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทานให้ครบหมู่และมากพอกับความต้องการของร่างกาย
  • ถ้ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับสุขภาพ รีบจัดการรักษาโดยทันที อย่าทิ้งไว้และคิดว่าไม่เป็นไร เล็กน้อย เีดี๋ยวก็หาย
  • เวลาที่ป่วยนอกจากคู่ชีวิตและครอบครัวที่สามารถช่วยเหลือเราได้อย่างใกล้ชิดแล้ว ตัวเราเองน่ะแหละ ที่จะช่วยให้ตัวเองหายป่วยได้อย่างดีที่สุด
  • ช่วงที่ป่วยใส่เสื้อผ้าแค่สองชุด และไม่สามารถไปไหนได้ แล้วเราจะทำแต่งานจนมีเงินมากมาย ไปทำไมกัน หาเวลาพักผ่อนบ้างนะจ๊ะ
  • ถ้าเรามีสุึขภาพดี เราจะไม่เป็นภาระกับตัวเองและคนอื่น แถมยังสามารถช่วยเหลือคนอื่นและสังคมได้ด้วย
  • อาการป่วยทางร่างกายบางอย่าง ไม่สามารถหายเป็นปกติได้ แต่จะแค่ดีขึ้น เหมือนแก้วร้าวที่เอากาวมาแปะไว้ โปรดระวังและรักษาสุขภาพของท่านอย่างยิ่งยวด
  • เวลาป่วยใช่ว่าจะแย่เสมอไป เพราะมันเป็นช่วงที่เราได้มีเวลาพักร่างกายและจิตใจอย่างจริงจัง เงยหน้าออกมาจากวิถีการใช้ชีวิตปกติ ทำให้เรามีเวลาคิด ทบทวน และเรียนรู้โลกอีกด้านที่เราเคยละเลยไป เช่น การอ่านหนังสือดีๆ จากกระดาษ และฟังธรรม
  • การใช้ชีวิตพอดีๆ  ทำงานแต่พอดี พักผ่อนแต่พอดี มีความสุขแต่พอดี จะทำให้ชีวิตพอดีๆ

ถ้าอยากรู้ว่าอะไร ทำไม เราถึงได้ร่างกายเปราะบางถึงขนาดนี้ เริ่มอ่านจากตรงนี้ได้เลยค่ะ

เรากลับเมืองไทยเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเป็นเวลา 4 สัปดาห์

วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ตื่นขึ้นมา เราก็พบว่าเรานอนตะแคง และรู้สึกเจ็บที่สะบักด้านซ้าย คิดว่าเกิดจากการนอนผิดท่า (ปกติเรานอนหงาย)

แต่เราไม่ได้กังวลอะไร ไม่ได้บอกใคร ( คุณสามี ( พี่ฮิม) ไม่อยู่ ไปปรนิบัตพ่อแม่เค้า) เราก็ออกจากบ้านไปทานข้าวกับเพื่อน แล้วก็กลับบ้านพร้อมน้องสาว

โดยที่น้องสาวขนของของน้องชายที่กำลังบวชอยู่ กลับมาจากห้องพัก เราก็ช่วยยกของนิดหน่อย แต่เราก้มไม่ได้ ใช้วิธีย่อตัวเอา

และแล้วเราก็นอนไม่ได้ทั้งคืน เพราะปวดมาก ปวดสะบัก ปวดเส้นจากคอลงมาที่หลังถึงบริเวณเอวและปวดไปทั้งแขนซ้าย

ตื่นเช้ามารีบไปโรงพยาบาลกรุงเทพ แต่ใจก็นึกว่าถ้าเรากินยาคลายกล้ามเนื้อมันจะหายไหม๊ (จริงๆ ถ้ากินตั้งแต่เมื่อวานเช้าอาจจะไม่เป็นไรไปแล้ว )

เบื้องต้น เราถูกส่งไปให้แผนกกระดูกสันหลัง คุณหมอ กดบริเวณสะบักและรอบๆ เราไม่เจ็บ แต่พอให้เราขยับแขนเราจะเจ็บ

คุณหมอบอกว่าเรากล้ามเนื้ออักเสบ และกระดูกคอเสื่อม !  จะจ่ายยาให้และส่งต่อไปให้คุณหมอแผนกกายภาพบำบัด

สิ่งที่คุณหมอกังวล คือ  เราเคยเส้นคอฝั่งซ้าย เส้นเดียวกับที่เจ็บอยู่ พลิก 2 ครั้ง ในรอบ 6 ปี คือถือว่าเปราะบางมาก

และคุณหมออธิบายเพิ่มว่า คนที่เป็นกล้ามเนื้ออักเสบ กับคนที่เป็นหมอรองกระดูกทับเส้นประสาท จะมีอาการเริ่มต้นเหมือนกัน รักษาเบื้องต้นเหมือนกัน คือให้ยาและกายภาพบำบัด  ถ้าเป็นกล้ามเนื้ออักเสบ เดี๋ยวก็หาย  แต่ถ้าเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ก็จะไม่หาย ต้องกายภาพต่อเนื่องและรักษาตามอาการไป  คุณหมอบอกว่า เราเพิ่งเจ็บหลังครั้งแรก อาการแบบนี้ น่าจะเป็นแค่กล้ามเนื้ออักเสบ   เฮ้ออออ โล่งไป

จากนั้นเราก็ไปพบคุณหมอกายภาพบำบัด  คุณหมอก็บอกเหมือนกันว่ากล้ามเนื้ออักเสบ  แถมทักเราว่าก้มหน้าก้มตาเล่น BB เยอะไปหรือเปล่า กระดูกคอเลยเสื่อม << เอ่อปกติหนูใช้ iPhone ค่ะ

ว่าแล้วคุณหมอก็ให้เราไปนอนบนเตียง  และคุณหมอก็ทำการ กดเข็ม คุณหมอบอกไม่ใช่ฝังเข็มนะ แต่จะกดลึกลงไปที่หลัง แล้วก็หมุนๆคล้ายๆ ขยับทีละน้อยรอบๆบริเวณที่คุณหมอกดเข็มลงไป

คุณหมอกดจุดแรกที่สะบักซ้ายประมาณมุมทะแยงกับหัวไหล่ซ้าย ตอนที่หมุนหัวเข็ม เรารู้สึกไปถึงเส้นที่คอและหลัง

กดจุดที่สอง ขยับไปอีกนิดน่อย จำความรู้สึกไม่ได้แล้วว่าตรงไหน แต่รู้ว่ารู้สึกไปถึงเส้นที่แขน

คุณหมอบอก แสดงว่า กดถูกเส้นละ  และจากนั้นเราก็ขยับแขนขึ้นลงได้บ้าง จากที่ก่อนมาถึงโรงพยาบาล ยกไม่ขึ้นเลย  แต่เราก็เจ็บสะบักอยู่นะ เจ็บมากกกก

ข้อห้ามเด็ดขาด  ห้ามยกของหนักอีกต่อไป และ ถ้าจะให้ดีช่วงนี้อย่าใช้แขนซ้าย กระเป๋าถือ หรือถุงชอปปิ้งหนักๆ นี่ห้ามเลย

เราถูกส่งต่อไปห้องกายภาพ ที่ทำกายภาพโดยคุณพยาบาล

ใช้เลเซอร์จี้ที่เส้นคอ  เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น

ใช้อุปกรณ์อัลตราซาวน์ที่มีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามากรตุ้นที่รอบๆ สะบักซ้าย บริเวณกล้ามเนื้อทั้งหมดที่เจ็บ

จากนั้นก็ไปนอนบนเตียงเพื่ออบร้อน และดึงคอ ( ปรับกระูดูกคอให้เข้าที่)

ทั้งหมดใช้เวลาทำกายภาพ 1 ชั่วโมง แล้วก็ไปจ่ายเงินรับยาไปทานที่บ้าน

คุณหมอแนะนำให้มาทำกายภาพทุกวัน และควรจะจองออกกำลังกายโดยพยาบาลด้วย ออกกำลังกายของโรงพยาบาลคิวแน่นมาก เต็มไปถึงอีกอาทิตย์นึงโน่น

แล้วยังไงล่ะ  เราจะต้องไปหาพี่ฮิมในวันนั้น และจะกลับมากรุงเทพอีกทีโน่น วันพฤหัส

ไม่เป็นไร ได้ยาไปแล้ว คงจะหายมั้ง

เราก็เริงร่าทานยา และไปซื้อ hot pack  มาประคบบริเวณที่ปวด  เราซื้อที่ร้าน Boots แ่ต่คิดว่าร้านขายยาทั่วไปก็น่าจะมีขายนะคะ  หน้าตาตอนแกะกล่องออกมาเป็นแบบนี้ค่ะ

ทำให้อาการปวดดีขึ้น  ผ่านไปสองสามวันเราก็ไม่ปวดหลังแล้ว จากเดิมที่นั่งเฉยๆ ก็ปวดทรมานมาก

แต่ว่าเรายังไม่สามารถทำอะไรหนักๆ ได้ เพราะแค่เราจะปลอกมะม่วงสุก ถือมะม่วงที่มือซ้าย เราก็ยังรู้สึกได้เลยว่าตึงเส้นจากหลังไปถึงคอ

เรากลับมาบ้านตัวเองวันพฤหัสบดี แวะไปเยี่ยมอาจารย์ที่มหาลัย ไปทานข้าวกับพี่ ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ปกติ เพราะว่าเรานั่งรถแล้วก็ลงไป นั่งทานอาหารเย็นแล้วก็กลับบ้าน

แต่พอวันศุกร์ เราเดินสายเจอผู้คน ซื้อของ และไปเดินชมบูทงานสร้างบ้านที่เซ็นทรัลเวิร์ล เพราะเรามีโครงการจะสร้างบ้าน ไปเลือกแบบบ้านกับน้องสาว

เราเดินเข้าเิดินออกเกือบทุกบูท เข้าไปขอรายละเอียด แล้วก็ได้แบบบ้านมาหลายเจ้าเลย  เราสะพายกระเป๋าและถือของด้านขวา

แต่ซักพักเราก็รู้สึกปวดหลังตรงส่วน lower back  ก็เลยให้น้องสะพายกระเป๋าให้ ให้น้องเอาแบบบ้านทั้งหมดไปเก็บที่รถก่อน

เราเดินตัวเปล่าในงานอีกพักนึง เพราะเดินไปเจอแบบที่ถูกใจ ก็เลยหยุดคุยและลงทะเบียนไว้ที่บูทนั้น

ตอนเดินไปที่ลานจอดรถ แขนขาเราเริ่มชา ก็เอ๊ะ เป็นอะไร กลับบ้านก็ยังไม่หาย ต้องนั่งเหยียดเท้าอยู่นานมากประมาณชั่วโมงนึง ก็ค่อยดีขึ้น

วันเสาร์ แขนขาชาเป็นระยะ แต่ถ้านั่งเหยียดขา และหยุดกิจกรรมต่างๆ ซักพักก็หาย รีบโทรไปนัดกายภาพและพบหมอ

วันอาทิตย์ ไปทำกายภาพก่อนแล้วก็พบหมอ เพราะตารางกายภาพก็แน่นมากเหมือนกัน  คุณหมอบอกว่าที่ชาเป็นเพราะว่าเรายังไม่หายดี มันเป็นช่วง sensitive แต่เราไปใช้มันเยอะ ถึงแม้จะไม่เยอะเท่าปกติ แต่ก็หนักเกินไปสำหรับ กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่ยังไม่แข็งแรง คุณหมอ เขียนใบรับรองแพทย์เรื่องห้ามยกของหนักและใบรายละเอียดเรื่องการทำกายภาพให้เรา มายื่นที่โรงพยาบาลในอังกฤษ เพื่อทำกายภาพต่อ อีกสองสัปดาห์

วันจันทร์ นัดออกกำลังกายได้เช้า 8 โมง แล้วต่อด้วยกายภาพ คุณพยาบาล ช่วยออกกำลังกายให้และ สอนท่าให้กลับไปทำกายภาพที่บ้านต่อ และตอนเย็นเราก็ต้องบินกลับอังกฤษ

พี่ฮิมจัดการกระเป๋าของเราสองคนทั้งหมอสองใบใหญ่ และสองใบเล็ก เพราะเราถือของไม่ได้ ไม่อยากเสี่ยง  ก็นั่งขาชามาตลอดทาง สิบกว่าชั่วโมง เพราะมันเริ่มชาตั้งแต่ยังเดินไม่ถึง Gate ขึ้นเครื่องเลย  มาถึงบ้าน กว่าจะหายชาก็วันกว่า เครียดง่ะ

กลับมารีบโทรนัดหมอเพื่อจะไปทำกายภาพ  พอเจอหมอแล้ว คุณหมอบอกว่า วิธีรักษาที่นี่ไม่เหมือนเมืองไทยนะ

กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นอักเสบ ก็ควรจะให้มันพัก อยู่เฉยๆ อย่าใช้มัน อย่าไปกระตุ้นมันด้วยการทำกายภาพ

จะทำกายภาพก็ต่อเมื่อ รักษาไปถึงระยะเวลาหนึ่งแล้วยังไม่หาย

เอายาให้คุณหมอดูว่า ทานอะไรบ้าง คุณหมอก็บอก ยาคลายกล้ามเนื้อ ประเทศนี้ไม่ใช้นะ มันมีผลต่อกระดูก ส่วนยาแก้ปวด เราทานโดสต่ำไปเลยยังไม่หาย เอ่อออ อึ้งไปแป๊บนึง

คุณหมอสั่งให้เรางดทานยาที่เอามาจากเมืองไทย จ่ายยามาให้ใหม่ แล้วก็บอกว่าให้นอนพักเยอะๆ น่าจะหายภายใน 1 เดือน   โอเคค่ะหมอ

กลับมานั่งๆ นอนๆ และทำกายภาพเองที่บ้าน โดยที่พี่ิฮิมทำงานบ้านทุกอย่างให้หมด รวมถึงทำกับข้าว หาของกินไว้ให้ครบสามมื้อ อิชั้นมีหน้าที่ัพักผ่อน

ซึ้งใจเป็นที่สุด จนคิดว่าถ้ากลับกัน เราต้องเป็นฝ่ายดูแลพี่ฮิมแบบนี้จะทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ อย่างที่เราได้รับอยู่หรือเปล่า << ถูกแจ๊คพอต ได้สามีดี

เพื่อนเราบอก ดวงจะเป็นคุณนาย ได้นั่งๆนอนๆ << ไม่ดีมั๊ง

ช่วงอาทิตย์แรกที่กลับมาอยู่ลอนดอน แขนขาก็ชาเรื่อยๆ เดินนิดหน่อยก็ชา แอบไปล้างชามสองใบก็ชา  นอนเฉยๆ ตื่นมาก็ชา  จนเรานอนร้องไห้เลยอ่ะ เพราะเครียดไม่รู้ว่ามันจะหายไหม๊ ทำไมมันชา  คือรู้สึกว่ามันคงมีปัญหาที่เส้นประสาท ไม่ใช่แค่กล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นแล้ว  แอบกลัว กลัวไม่หาย  บ้าเหรอ นอนเฉยๆ ก็ชาได้ นี่ยังไม่ได้ขยับตัวไปทำอะไรเลยนะ

ระหว่างนี้ก็เดินอยู่แค่ในห้องสี่เหลี่ยม จากเตียงไปเข้าห้องน้ำ ไปนั่งทานข้าว ( ต้องมีหมอนพิงหลัง) แล้วก็วนกลับมาอยู่ที่เตียงนอน ทั้งนอน ทั้งนั่งดูหนัง ( มีหมอนพิงหลังอีกน่ะแหละ) แล้วก็เล่นเน็ตบน iPhone บ้างตามประสา  แต่ส่วนใหญ่จะนอน เพราะทานยาแล้วง่วงจนหลับไปเลย

รู้ไหม๊เราทำอะไรไม่ได้บ้าง ช่วงที่เราป่วย

  • อดแต่งตัวสวย เพราะต้องนอนอยู่บนเตียง ถึงเวลาออกไปนอกบ้าน ก็ใส่แต่รองเท้าผ้าใบ กระเป๋าก็ถือไม่ได้ต้องเดินตัวเปล่า เอาของไปแต่จำเป็น มือถือ กุญแจ และเงินนิดหน่อย  แค่คิดก็อยากจะกรี๊ดดดด  โอ๊ย ยังอยากใส่ส้นสูง ใส่สร้อย Punk Bear และสะพายกระเป๋าเก๋ๆ อยู่นะ
  • ทำกับข้าวยากๆ ไม่ได้ ยกกระทะ ยกหม้อไม่ไหว ต้องอะไรก็ได้ง่ายๆ โดยช่วงแรกพี่ฮิมจะทำให้ แล้วก็คิดเผื่อไว้ว่ามื้อไหนต้องทานอะไร ช่วงที่เราอยู่คนเดียว ก็เอากับข้าวที่ทำไว้มาเข้าไมโครเวฟกินเอง
  • ทำงานบ้านเองไม่ได้ เพราะขยับตัวเยอะ เดี๋ยวก็ปวดเส้นอีก
  • มี Sex และนัวเนียกอดรัดฟัดเหวี่ยงไม่ได้ เอ่อ ไม่ได้ทะลึ่ง แต่ว่าเรื่องจริง เพราะเราขยับหมุนตัวไม่ได้ ต้องนอนหงายอย่างเดียวแล้วเดี๋ยวคุณสามีมากอดเอง มากกว่านั้น ลืมไปได้เลย เจ็บหลังอยู่ง่ะ
  • ทำงานไม่ได้ เพราะต้องรักษาตัวให้หายก่อน แค่ยืนนานๆ เดินนานๆ ยังไม่รอด แล้วจะออกไปไหนเหรอ คงต้องทำงานแบบ work from home ละมั๊ง

แล้วถ้าเราไม่หายเราจะไม่ได้ทำอะไรบ้าง

  • ทั้งหมดด้านบนก็คงจะทำไม่ได้น่ะแหละ
  • จะไปเดินชมเมือง ชมป่าเขา เที่ยวแบบทรหดไม่ได้อีกแล้ว
  • ไปช้อปปิ้งแบบถือของพะรุงพะรัง เข้าร้านโน้นออกร้านนี้ไม่ได้  เศร้า
  • ไปย่ำยุโรปอย่างที่ฝันก็คงจะไม่ไหว
  • มีลูกไม่ได้ เพราะแค่ตัวเองยังนั่ง ยืน เดิน ไม่สะดวก แล้วเราจะแบกน้ำหนักตอนตั้งท้อง และอุ้มลูก ให้นมลูกได้ยังไง

เราได้แต่คิดว่าไม่ได้นะ เราต้องหายซิ่ คนเค้าขาหัก กระดูกหัก หกเดือนเค้ายังหายเลย  กะอีแค่นี้จะอะไรกันนักหนา

พอสัปดาห์ที่สามก็เริ่มดีขึ้น แขนไม่ชา  แต่ขายังชาอยู่นะ ไปหาหมออีกครั้ง คุณหมอให้ลดยาเหลือแค่ตัวเดียว และบอกว่าให้ออกไปเดินวันละ 20 นาที ดูซิว่าไหวไหม๊

20 นาที ! นี่วันนึงเราจะเดินได้แค่นี้เองเหรอ

ไม่อยากจะบอกว่า ได้แค่นั้นจริงๆ เพราะขามันจะชา  แล้วก็ปวดเส้นมากๆ เวลาที่กลับมาถึงบ้าน ปวดจนทนแทบไม่ไหว  แล้วก็หลับแบบสลบไม่ไหวติงไปเลย

เราเิดินด้วยการมีตัวช่วยพิเศษ คือรองเท้าสำหรับเดินโดยเฉพาะที่เราใส่มาสองปีแล้ว เป็นรองเท้าผ้าใบที่ช่วยเรื่องการทรงตัว การรับน้ำหนักของข้อเท้า+หัวเข่า และสร้างกล้ามเนื้อเหมือนเราไปยิม

จากเมื่อก่อนเคยปวดหลังเพราะเดินเยอะ พอเปลี่ยนมาใส่รองเท้านี้ก็หายปวดหลังไปเลย

รองเท้านี้คือ MBT ค่ะ

ถ้าใครมีปัญหาปวดหลัง หรือต้องทำงานที่เดินเยอะ ยืนเยอะ แนะนำให้ใส่ MBT นะคะ เค้ามีหลายรุ่นหลายสีค่ะ  แต่อาจจะร้อนซักหน่อยสำหรับอากาศเมืองไทย

ส่วนรองเท้าแตะ Fitflop เราเอามาใส่เดินในบ้าน เพราะว่าช่วยลดแรงกระแทกของข้อและกระดูกสันหลังได้ดี

หลังจากเดินได้วันละ 20 นาทีโดยที่ขาไม่ชามาอาทิตย์นึง  เราก็ลองเดินไกลขึ้นกว่าเดิม เป็นเกือบ 30 นาที

และแล้วเราก็พบว่าเราปวดเส้นมากตอนเดินกลับจะถึงบ้าน และ ขาชา อีกแล้ว!

แต่คราวนี้ มันชาแบบเบาๆ   ชาอยู่ตั้ง 3 วันแน่ะ  เอิ๊ก  เรางี้ซีดเลย นอนนิ่งอยู่บ้านไม่กล้าออกไปเดินอีกหลายวัน

ไปหาหมออีกรอบ  คุณหมอเลย ให้ทานยาต่อ แล้วก็บอกว่าจะส่งตัวไปทำกายภาพละนะ นี่มัน 6 สัปดาห์แล้วยังไม่หายอีก

แต่ระบบทีี่นี่คือ เค้าจะส่งจดหมายมาที่บ้าน แล้วเราก็เอาจดหมายนั้นไปยื่นที่โรงพยาบาลที่เค้าระบุในจดหมายเพื่อไปรับการกายภาพ

เรารอจดหมายมาอาทิตย์นึงละ  ยังไม่มีวี่แวว

ระหว่างที่ป่วยเราก็ทำกายภาพด้วยตัวเองที่บ้าน ตามที่โรงพยาบาลแนะนำและจากที่ค้นหาจากในอินเตอร์เน็ต

เมื่อวานมีแช่น้ำอุ่น ผสม เกลือด้วยอ่ะ  รู้สึกตัวเบาขึ้นเลย

ตอนนี้เราเดินวันละ 1 ชั่วโมงโดยที่ขาไม่ชามาได้ 5 วันแล้ว  แต่รู้สึกปวดเส้นบริเวณคอและหลังนิดหน่อยช่วงท้ายๆ ชั่วโมง

สะบักที่เจ็บตั้้งแต่วันแรก  ตอนนี้ก็ยังเจ็บอยู่ ถ้าเราขยับหลัีง หรือใช้งานมือซ้าย  << อักเสบนานจัง

แต่เราก็ตั้งเป้าไว้แล้วว่าเราจะต้องหายเร็วๆนี้ให้ได้ ภายในหนึ่งเดือนนี่ละ

อาทิตย์นี้จะเริ่มเดินไกลขึ้น ซัก ชั่วโมงครึ่ง ถ้าไหว อาทิตย์หน้าจะสองชั่วโมง

เราต้องหายเป็นปกติให้ได้

ถึงทุกคนที่เรารัก คนที่รู้จัก และคนที่ไม่รู้จัก

ถ้าคุณเคยละเลยการดูแลสุขภาพตัวเอง ขอให้หันกลับมาใส่ใจสุขภาพตัวเองได้แล้วนะคะ จะได้ไม่ป่วยหนักแบบเรา

บลอกที่ WordPress.com .